วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า
” วีโต้แพทยสภา ระวัง!ซ้ำรอย นิรโทษกรรมสุดซอย
รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขควรตระหนักอย่างยิ่งว่า การดำเนินการใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นการแทรกแซงมติขององค์กรวิชาชีพอย่างแพทยสภา ย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการทำลายหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมาธิปไตย และอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองในระดับโครงสร้าง
กรณีที่มีกระแสข่าวว่าคณะทำงานของรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน เตรียมเสนอความเห็นเพื่อวีโต้ หรือ “โต้แย้งมติ” ของแพทยสภาซึ่งพิจารณาโทษผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับกรณีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นสิ่งที่สังคมไม่สามารถเพิกเฉยได้
เพราะนอกจากจะเป็นการ ลดทอนความเป็นอิสระขององค์กรควบคุมจริยธรรมวิชาชีพแล้ว ยังอาจถูกตีความได้ว่าเป็นความพยายามใช้กลไกภาครัฐ ปกป้องหรืออุปถัมภ์ผลประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยมิชอบ
สังคมไทยเคยมีบทเรียนสำคัญจากกรณี ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พ.ศ. … (ฉบับสุดซอย) ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญของประเทศ
เนื่องจากประชาชนจำนวนมากมองเห็นว่าเป็นความพยายาม บิดเบือนกลไกกฎหมายเพื่อล้างผิดเชิงระบบ อันส่งผลให้เกิดการชุมนุมขนาดใหญ่ในช่วงปี พ.ศ. 2556–2557 และนำไปสู่วิกฤตความชอบธรรมของรัฐบาลในที่สุด
ในบริบทปัจจุบัน หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าผลักดันข้อเสนอหรือกระบวนการใด ๆ ที่มีนัยยะเช่นเดียวกัน คือการขัดขวาง หรือลบล้างกระบวนการพิจารณาโทษทางจรรยาบรรณของแพทยสภาโดยไม่ยึดหลักธรรมาภิบาลและหลักนิติรัฐ ย่อมอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางการเมืองในลักษณะเดียวกันได้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
การดำรงอยู่ของ “หลักความเป็นอิสระขององค์กรวิชาชีพ” คือหนึ่งในเสาหลักของความศรัทธาในระบบการตรวจสอบถ่วงดุล หากหลักการนี้ถูกบั่นทอนโดยเจตนาเชิงอำนาจ ไม่เพียงแต่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเท่านั้น แต่ยังอาจขยายตัวเป็น วิกฤตความชอบธรรมทางการเมือง ที่มีลักษณะเป็นการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างรุนแรง
ในระบอบประชาธิปไตย ความชอบธรรมไม่ได้เกิดจากเสียงข้างมากเพียงเท่านั้น แต่ต้องประกอบด้วยหลักจริยธรรม ความโปร่งใส และการเคารพในความรู้สึกของสังคมโดยรวม หากรัฐบาลมิได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ก็อาจกำลังนำพาตนเองเข้าสู่ภาวะวิกฤตโดยไม่รู้ตัว”