เข้าสู่โค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ซึ่งจะเปิดคูหาให้ประชาชนไปหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 3 มิถุนายนนี้

โดยเป็นการเลือกตั้งเพื่อหาประธานาธิบดีคนใหม่ แทนประธานาธิบดีคนเก่า คือ นายยุน ซ็อก-ยอล ที่กระเด็นตกเก้าอี้ประธานาธิบดีไป อันเป็นผลลัพธ์จากการที่เขาประกาศบังคับใช้กฎอัยการศึก แบบสายฟ้าแลบ ไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม ปลายปีที่แล้ว จนถูกศาลรัฐธรรมนูญ มีคำพิพากษา เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านพ้นมา ด้วยมติ 8 ต่อ 0 เสียง คือ เป็นเอกฉันท์ว่า ประธานาธิบดียุน ซ็อก-ยอล กระทำไปด้วยความมิชอบต่อกฎหมาย ละเมิดหลักนิติธรรม และระบอบประชาธิปไตย ส่งผลให้เขาต้องออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศ ตามคำพิพากษาข้างต้น

เรียกว่า นายยุน ซ็อก-ยอล วัย 64 ปี ต้องออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ไปอย่างมีมลทิน

ติดตัวไปจนตลอดชีวิตนับจากนี้

ทำให้เกาหลีใต้ ต้องจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศกันใหม่ โดยกำหนดให้วันที่ 3 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ทางการจะเปิดคูหาหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ ให้ประชาชนชาวเกาหลีใต้ เจ้าของสมญานามชาวโสมขาว ได้กาบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของพวกเขา

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ 2025 (พ.ศ. 2568) ที่จะมีขึ้นนั้น ก็มีผู้สมัครรับเลือกตั้งคนสำคัญ เข้าร่วมชิงชัยกัน 3 คนด้วยกัน หลังจากที่ผ่านการโหวตเลือกตั้งขั้นต้น หรือไพรมารีโหวต ให้เป็นตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ได้แก่

นายอี แช-มย็อง ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ 2025 จากพรรคประชาธิปไตยแห่งเกาหลี ซึ่งเป็นตัวเต็งคนสำคัญ ด้วยคะแนนนิยมสูงสุด (Photo : AFP)

“นายอี แช-มย็อง” ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ 2025 วัย 61 ปี จากพรรคประชาธิปไตยแห่งเกาหลี หรือดีพีเค ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านของเกาหลีใต้ หลังจากที่ นายอี แช-มย็อง ได้พ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เมื่อปี 2022 (พ.ศ. 2565) แก่นายยุน ซ็อก-ยอล อย่างเฉียดฉิว เพียง 0.73 จุด ไม่ถึง 1 จุดด้วยซ้ำ คือ นายยุน ซ็อก-ยอล ชนะไปด้วยคะแนนร้อยละ 48.56 ต่อร้อยละ 47.83 เท่านั้น

ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในปี 2025 หนนี้ นายอี แช-มย็อง ก็หมายมั่นปั้นมือว่า จะคว้าชัยชนะมาให้จงได้

นายคิม มุน-ซู ผู้สมัครรับเลือกตั้งฯ จากพรรคพลังประชาชน ที่คะแนนนิยมตามมาเป็นอันดับ 2 แบบห่างๆ (Photo : AFP)

ตามมาด้วยผู้สมัครฯ รายที่สอง และจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของนายอี แช-มย็อง ก็คือ “นายคิม มุน-ซู” วัย 73 ปี ผู้สมัครฯ จากพรรคพลังประชาชน หรือพีพีพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ที่เคยมีนายยุน ซ็อก-ยอล เป็นผู้นำพรรค แต่ปัจจุบัน นายยุน ซ็อก-ยอล ได้ถอนตัวลาออกไปแล้ว หลังเกิดกระแสเสียงเรียกร้องภายในพรรคฯ ขอให้ลาออกไป เนื่องจากกระแสความไม่พอใจต่อนายยุน ซ็อก-ยอล ได้ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของพรรคพีพีพีไปด้วย

ปิดท้ายผู้สมัครฯ คนสุดท้าย คือ “นายอี จุน-ซ็อก” วัย 40 ปี จากพรรคปฏิรูปใหม่ ซึ่งผู้สมัครฯ รายนี้ ได้รับการวางตัวให้เป็นไม้ประดับของการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้หนนี้ เนื่องจากคะแนนนิยมที่มีอยู่น้อยนิด โดยสองผู้สมัครฯ ข้างต้น คือ นายอี แช-มย็อง และนายคิม มุน-ซู ได้รับการจับตามากกว่า ในฐานะคู่ชิงชัยสำคัญ

นายอี จุน-ซ็อก ผู้สมัครฯ จากพรรคปฏิรูปใหม่ ที่คะแนนนิยมยังคงรั้งท้าย (Photo : AFP)

ว่ากันบรรยากาศการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแล้ว นอกเหนือจากการชูนโยบายต่างๆ ซึ่งก็พบเห็นได้ทั่วไป คือ ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ อันเป็นประเด็นหลักแล้ว ปรากฏว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา และความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ ประเทศเจ้าของฉายา “โสมแดง” และเป็นคู่ปรปักษ์ชาติเกาหลีด้วย

กันกับเกาหลีใต้ ก็ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญ สำหรับ การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่กำลังมีขึ้นอย่างเข้มข้นนี้ด้วย

โดยทั้งนายอี แช-มย็อง และนายคิม มุน-ซู ต่างก็หยิบยกประเด็นเรื่องประธานาธิบดีทรัมป์ และความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ มารณรงค์หาเสียง

ทั้งนี้ ในประเด็นที่เกี่ยวกับประธานาธิบดีทรัมป์นั้น แน่นอนว่าผู้สมัครฯ ทั้งสอง ต่างพยายามหาเสียงในเรื่องเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งภาษีศุลกากรที่ว่า ก็คือ มาตรการตอบโต้ทางการค้าที่สหรัฐฯ มีต่อประเทศต่างๆ อันรวมถึงเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นอีกหนี่งในชาติคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ อีกด้วย

นอกจากเรื่องประเด็นภาษีศุลกากร การทำข้อตกลงการค้าต่างๆ ที่ทั้งนายอี แช-มย็อง และนายคิม มุน-ซู ระบุถึงการหาทางพยายามเจรจากับประธานาธิบดีทรัมป์ให้ได้แล้ว ผู้สมัครฯ ทั้งสอง ก็ล้วนต่างประกาศนโยบายสนับสนุนให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้พบปะหารือกับนายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนืออีกต่างหากด้วย ซึ่งในประเด็นนี้ ก็มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ที่ ณ ปัจจุบันทั้งสองชาติเกาหลีเผชิญหน้าในลักษณะขัดแย้งระหว่างกัน

เริ่มจากนายคิม มุน-ซู ที่ประกาศสนับสนุนต่อประธานาธิบดีทรัมป์ ในการพบปะหารือแบบประชุมสุดยอด หรือซัมมิต กับนายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เหมือนกับที่ทั้งสองเคยพบปะหารือกันมาแล้ว ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2018 (พ.ศ. 2561) ซึ่งถือเป็นการพบปะกันครั้งประวัติศาสตร์ และการพบปะกันอีกครั้ง ที่เขตปลอดทหาร หมู่บ้านปันมุนจอม ระหว่างพรมแดนของเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน อีก 1 ปีถัดมา คือ 2019 (พ.ศ. 2562)

นอกจากนี้ นายอี แช-มย็อง ตัวเต็งผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้หนนี้ ก็ประกาศเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อันเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้ว่า ตนจะหวนกลับมารื้อฟื้นการต่อโทรศัพท์สายตรง แบบฮอตไลน์ กับนายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนืออีกครั้ง หลังจากที่ยกเลิกไปในสมัยก่อนหน้า เมื่อปี 2023 (พ.ศ. 2566) เพื่อฟื้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ ซึ่งการต่อฮอตไลน์สายตรงข้างต้น ก็จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเจรจารื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติเกาหลีด้วยกัน

ในส่วนของคะแนนนิยมของผู้สมัครฯ ทั้ง 3 คน ในการสำรวจความคิดเห็น หรือการทำโพลล์ครั้งล่าสุด ปรากฏว่า นายอี แช-มย็อง มีคะแนนนิยมแบบนำโด่งทิ้งห่างเหนือใคร ที่ร้อยละ 48.9 ตามมาแบบห่างๆ โดยนายคิม มุน-ซู ที่ร้อยละ 30.8 ส่วนนายอี จุน-ซ็อก มีคะแนนนิยมเพียงร้อยละ 9.6 ซึ่งหากไม่มีอุบัติเหตุอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกันเสียก่อน นายอี แช-มย็อง ก็น่าจะเข้าสู่ทำเนียบสีน้ำเงิน “บลูเฮาส์” หรือช็อง วาแด” ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้อย่างไม่ยากเย็นนัก