“รอดจริงหรือแค่ลวง? ดีลลับนายกฯ กับอเมริกา เขย่าเศรษฐกิจไทย”

ภายหลังนางสาวแพทองธารภายหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย ออกมาเปิดเผยกลางรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ถึงความพยายามเจรจาในลักษณะ “ดีลลับ” กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อป้องกันผลกระทบจาก กำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่อาจถูกบังคับใช้กับสินค้าไทยหลายชนิด ข่าวนี้ได้กลายเป็นกระแสในแวดวงเศรษฐกิจและการเมืองทันที พร้อมเสียงตั้งคำถามว่า ไทยมีศักยภาพมากพอจะหลีกเลี่ยงภาษีจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ได้จริงหรือไม่?

นายกฯ แพทองธาร ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของดีลนี้อย่างชัดเจน แต่ระบุว่า เป็นการเจรจาโดยตรงผ่านช่องทางพิเศษกับฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ เพื่อขอความร่วมมือและหาข้อยุติก่อนที่คำสั่งขึ้นภาษีจะมีผล

นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนด้านความร่วมมือความมั่นคง เศรษฐกิจ หรือดิจิทัล เพื่อให้ไทยยังคงได้รับสิทธิพิเศษทางการค้า เช่น GSP หรือได้รับการยกเว้นบางมาตรการภาษี

วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

1.สถานะการค้าของไทยกับสหรัฐฯ

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย สินค้าหลักได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร สิ่งทอ และอาหารแปรรูป หากถูกขึ้นภาษี จะกระทบ GDP ไทยทันทีอย่างน้อย 0.3-0.5% ต่อปี

2.ปัจจัยเชิงบวกที่ไทยสามารถเจรจาได้

ไทยเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ในภูมิภาค มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไทยอาจเสนอให้สหรัฐฯ เข้าร่วมลงทุนในโครงการใหญ่ เช่น EEC หรือพลังงานสะอาด

3.ข้อจำกัดที่ทำให้ดีลนี้ยากสำเร็จ

การเจรจาภาษีต้องผ่านกระบวนการรัฐสภาและกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ หากเป็นมาตรการตอบโต้ทางการค้า (เช่น มาตรา 301) ไทยต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่การต่อรองเฉพาะหน้า

มุมมองทางการเมืองระหว่างประเทศ

ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ในปัจจุบัน

1.ภายใต้รัฐบาลแพทองธาร ความสัมพันธ์กับวอชิงตันถือว่าอยู่ในระดับดี รัฐบาลไทยมีท่าทีสนับสนุนแนวทางประชาธิปไตย และร่วมมือในด้านความมั่นคงไซเบอร์และเศรษฐกิจสีเขียว

2.การทูตเชิงรุกเป็นกุญแจสำคัญ

หากไทยสามารถใช้ช่องทางการทูตระดับสูง เจรจาแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) และอาศัยบทบาทของทูตไทยในวอชิงตัน รวมถึงการล็อบบี้ผ่านภาคเอกชนสหรัฐฯ อาจช่วยชะลอหรือปรับลดมาตรการภาษีได้บางส่วน

บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ

ศ.ดร.อมรเทพ จาวะลา แห่งธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ระบุว่า “หากดีลที่นายกฯ อ้างถึง มีมูลค่าจริง ต้องมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนที่ชัดเจน เช่น สหรัฐฯ ได้สิทธิประโยชน์บางอย่างตอบแทน ไม่เช่นนั้นยากจะได้ผล”

 ดร.วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายระหว่างประเทศ เห็นว่า “ข้อตกลงลับแบบนี้แม้ไม่ผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ต้องระวังผลสะท้อนทางการเมืองภายใน หากถูกตีความว่าไทยยอมอ่อนข้อเกินไป”

ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมฯ เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยแนวทางการเจรจาให้โปร่งใสและประเมินผลกระทบต่อ SME อย่างรอบด้าน

ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น

หากดีลสำเร็จ:

ไทยอาจได้รับการยกเว้นภาษีหรือเลื่อนมาตรการออกไป ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติฟื้นตัว และอุตสาหกรรมส่งออกหลักของไทยได้รับแรงหนุน

หากดีลล้มเหลว:

ไทยอาจต้องเผชิญภาษีสูงขึ้นในสินค้าหลัก เช่น รถยนต์และอาหารแปรรูป ความสัมพันธ์การค้ากับสหรัฐฯ ตึงเครียดมากขึ้นและไทยอาจต้องพึ่งพาตลาดอื่นอย่างจีนหรืออินเดียมากขึ้น

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

1.เพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการเจรจา จัดตั้งคณะกรรมการเจรจาการค้าระดับชาติที่มีทั้งภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ

2.พัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้พึ่งพาตนเอง ส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดิม

3.กระจายตลาดส่งออก   เจรจาการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้ารายใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงหากสหรัฐฯ ใช้มาตรการกีดกัน

ไทยจะรอดจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ได้หรือไม่?

คำตอบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความจริงของ “ดีลลับ” ที่นายกฯ แพทองธารระบุ ความสามารถในการเจรจาเชิงนโยบาย ความสัมพันธ์ทางการทูต และความเข้าใจในกลไกการค้าสากล

แม้ดีลจะมีความเป็นไปได้ แต่การหวังผลระยะยาวต้องอาศัยมากกว่าข้อตกลงลับ ต้องมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจในประเทศ และการสร้างพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต

หากรัฐบาลสามารถใช้ดีลนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์การค้าระดับชาติอย่างจริงจัง ไทยอาจไม่เพียงรอดพ้นจากกำแพงภาษี แต่ยังมีโอกาสเติบโตในเวทีโลกได้อย่างมั่นคง

#ดีลลับแพทองธาร #กำแพงภาษีสหรัฐ #เศรษฐกิจไทยล่าสุด #การค้าระหว่างประเทศ #เจรจาการค้าสหรัฐไทย #ภาษีนำเข้าสหรัฐ #นโยบายเศรษฐกิจไทย #วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย #ประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา #ข่าวเศรษฐกิจวันนี้