ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 วงการเมืองไทยได้ถูกเขย่าด้วยสองเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกไม่ออก หนึ่งคือการที่แพทยสภามีมติยืนยันโทษทางจริยธรรมต่อแพทย์ 3 รายที่มีบทบาทในคดี “ตึกชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ” ซึ่งเป็นที่พักรักษาตัวของอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ขณะต้องโทษจำคุก และอีกหนึ่งคือการที่ศาลฎีกาเริ่มไต่สวนพยานในกรณีดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยมุ่งตรวจสอบว่า การที่นายทักษิณได้รับการส่งตัวไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้น ชอบด้วยกระบวนการตามกฎหมายและหมายจำคุกหรือไม่

จุดเริ่มต้นของการไต่สวน: เมื่อศาลไม่อาจนิ่งเฉย

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ศาลฎีกานัดไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่นายทักษิณ ซึ่งถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551, อม.10/2552 และ อม.5/2551 ได้ถูกส่งตัวไปพักรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 นานหลายเดือน โดยไม่ได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานของผู้ต้องขังทั่วไป

แม้นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส. ปชป. ผู้ยื่นคำร้องจะถูกศาลยกคำร้อง ด้วยเหตุว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี แต่ศาลฎีกากลับเห็นว่า เรื่องนี้มีมูลที่สมควรตรวจสอบ เพราะอาจเป็นกรณีที่มีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย

ศาลจึงมีคำสั่งส่งสำเนาคำร้องไปยังอัยการสูงสุด, คณะกรรมการ ป.ป.ช., จำเลยในคดี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้ส่งคำชี้แจง และนัดไต่สวนพยานปากต่าง ๆ ในวันที่ 4, 8 และ 15 กรกฎาคม 2568 อย่างละเอียด

มติแพทยสภายืนยัน: จุดยืนที่เปลี่ยนเกม

ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว แพทยสภาได้ลงมติยืนยันโทษทางจริยธรรมต่อแพทย์ 3 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลนายทักษิณระหว่างพักรักษาตัว โดยชี้ว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อจรรยาบรรณแพทย์ และไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพอย่างเหมาะสม

ถึงจะมีแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่เคยออกตัว “ไม่เห็นด้วย” กับมติดังกล่าว และพยายามเสนอให้ทบทวน แต่คณะกรรมการแพทยสภาก็ยืนกรานเจตนาเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง

ท่าทีของนายสมศักดิ์ ที่ออกมาปกป้องแพทย์ที่ถูกลงโทษ กลับส่งผลย้อนกลับอย่างรุนแรง ทั้งจากภาคประชาชน กลุ่มแพทย์ และนักวิชาการหลายฝ่ายที่เห็นว่า เป็นการแทรกแซงองค์กรวิชาชีพ และอาจเข้าข่ายเอื้อผลประโยชน์ต่อผู้มีอิทธิพลทางการเมือง

นอกจากนี้ยังถูกตีความว่า การกระทำดังกล่าวอาจมุ่งหวังปกป้องผลประโยชน์ของพรรคการเมืองหรืออดีตผู้นำรัฐบาล มากกว่าจะยึดหลักความยุติธรรมและจรรยาบรรณของระบบราชการ

คดีทักษิณในศาล: จากการเมืองสู่กระบวนการยุติธรรม

ศาลฎีกาเริ่มกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ด้วยพยานปากแรกคือ นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนจะเรียกพยานรวม 20 ปาก แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

วันที่ 4 กรกฎาคม: กลุ่มแพทย์และพยาบาลของสถานพยาบาลราชทัณฑ์

วันที่ 8 กรกฎาคม: พัสดีเวรและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ดูแลแทนผู้บัญชาการเรือนจำ

วันที่ 15 กรกฎาคม: กลุ่มผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ และผู้บัญชาการเรือนจำ

การไต่สวนดังกล่าวเป็นสัญญาณว่าศาลกำลังจริงจังกับการตรวจสอบว่า การบังคับโทษต่อผู้ต้องขังที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ และหากพบว่าไม่เป็นธรรม อาจนำไปสู่การดำเนินคดีใหม่ หรือการฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มเติม

รัฐบาลเพื่อไทยและแรงสั่นสะเทือนในสภา

รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยเผชิญแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอก การพยายามช่วยเหลือหรือปกป้องอดีตผู้นำที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรค ยิ่งทำให้สังคมตั้งคำถามว่า รัฐบาลนี้กำลังทำเพื่อผลประโยชน์ประชาชน หรือปกป้องกลุ่มคนใกล้ชิดกันแน่

ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชนเตรียมใช้ประเด็นคดีชั้น 14 เป็นหนึ่งในหัวข้ออภิปรายสำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งถัดไป โดยชี้ว่ารัฐบาลพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และใช้กลไกรัฐช่วยเหลืออดีตนักโทษทางการเมือง

แพทยสภา: ภาพลักษณ์ที่เข้มแข็งในสายตาประชาชน

ในอีกด้านหนึ่ง แพทยสภากลับกลายเป็นองค์กรที่ได้รับคำชื่นชมจากสาธารณชนมากที่สุดองค์กรหนึ่งในช่วงเวลานี้ การยืนหยัดตามหลักวิชาชีพ ไม่เปลี่ยนมติแม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากรัฐมนตรี ถือเป็นจุดยืนที่หายากในสังคมไทย

หลายฝ่ายยกย่องแพทยสภาว่า เป็นตัวอย่างขององค์กรอิสระที่ยึดถือจริยธรรมเหนือผลประโยชน์ และสามารถเป็นต้นแบบให้กับองค์กรวิชาชีพอื่น ๆ ในอนาคต

เส้นทางคดีชั้น 14 จะนำไปสู่อะไร?

การที่ศาลฎีกาเริ่มไต่สวนอย่างเป็นทางการ ประกอบกับมติยืนยันของแพทยสภา ทำให้คดีชั้น 14 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทย หากผลการไต่สวนระบุว่ามีการละเมิดกระบวนการทางกฎหมายจริง ย่อมกระทบต่อทั้งชื่อเสียงของนายทักษิณ ภาพลักษณ์ของรัฐบาล และความเชื่อมั่นต่อระบบยุติธรรมไทย

นอกจากนี้ยังอาจกลายเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหม่ หากแรงกดดันนำไปสู่การลาออกของรัฐมนตรี หรือปรับโครงสร้างรัฐบาลเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของพรรคร่วม

ในขณะที่ประชาชนกำลังจับตา คำถามที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือ รัฐบาลจะยืนหยัดเพื่อประชาชน หรือจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาความปลอดภัยของคนในเครือข่ายอำนาจเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด

คำตอบของคำถามนี้ อาจไม่ได้อยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่อยู่ที่กระบวนการยุติธรรม และการตัดสินของประชาชนในท้ายที่สุด

#ศาลไต่สวน #คดีทักษิณ #ชั้น14โรงพยาบาลตำรวจ #แพทยสภายืนกราน #สมศักดิ์ร้อน #รัฐบาลเพื่อไทย #ศาลไต่สวน #ยุติธรรมไทย #จริยธรรมวิชาชีพ #ข่าวการเมือง #บทวิเคราะห์การเมืองไทย