วันที่ 11 มิ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 13 มิ.ย.มีรายงานว่า นายทักษิณ จะไม่เดินทางไปศาล แต่จะมอบหมายทนายความส่วนตัว คือนายวิญญัติ ชาติมนตรี ไปแทน
นอกจากนี้ ทนายความส่วนตัว ได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาส่งเอกสารชี้แจงต่อศาลฎีกาฯ ออกไป โดยจากเดิมที่ศาลให้ส่งภายใน 30 วันนับจากวันที่รับทราบคำสั่งศาลคือวันที่ 30 เม.ย.68 มีรายงานว่า ศาลได้กำหนดกรอบเวลาเป็นภายในวันที่ 25 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ เนื่องจากศาลพิจารณาแล้ว เอกสารไม่ครบเช่นกัน
อย่างไรก็ดี มีการตั้งข้อสังเกตว่าหากมีการไต่สวนสืบพยานนั้นโอกาสที่ผลออกมาเป็นลบกับนายทักษิณ นั้นเป็นไปได้สูง
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายวิญญัติ ได้ออกมาระบุแล้วว่า ในวันที่ 13 มิ.ย.นายทักษิณ ไม่ได้เดินทางไปศาล แต่ได้แต่งตั้งทนายความไปแทนตามนัดไต่สวน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของหมายนัดพร้อมนั้นไม่ใช่นัดไต่สวน แต่เป็นการนัดพร้อมคู่ความและหมายนัดพยาน คือนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ และพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย
ดังนั้นเมื่อศาลฎีกาฯเห็นชอบให้เลื่อนหมายนัดพร้อมไปเป็นวันพุธที่ 25 มิ.ย.นี้แล้ว จำเลยคือนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องไปตามหมายนัดพร้อม วันที่ 13 มิงย. โดยให้ทนายความไปแทน ส่วนคู่ความและพยานต้องไป เพื่อไปรับทราบวันนัดพร้อมครั้งใหม่ ที่ศาลฯกำหนดเป็นวันพุธที่ 25 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ในวันพุธที่ 25 มิ.ย.นี้ นายทักษิณ ในฐานะจำเลย ต้องไปปรากฎตัวที่ศาลฯ ตามหมายนัดพร้อม เพื่อศาลจะพิจารณาจากเอกสารของคู่ความ และมีความเห็นว่าสมควรไต่สวน หรือ หากเห็นว่าพยานเอกสารมากพอพิจารณาความได้แล้วหรือไม่ ซึ่งหากเห็นว่าสมควรไต่สวน ก็จะมีการสืบพยาน หากจะลงโทษจำเลย ก็ต้องให้ความผิดเป็นที่ประจักษ์ ศาลจะใช้ความรู้สึกของตัวเองมาวินิจฉัยความผิดถูกไม่ได้
ซึ่งในทางปฎิบัติ ถ้ามีการไต่สวน แสดงว่าศาลจะต้องสืบพยานให้ความผิดเป็นที่ประจักษ์ แต่ถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานเพียงพอต่อการวินิจฉัยคดีได้ โดยไม่ต้องไต่สวนสืบพยานให้เป็นที่ประจักษ์ โอกาสถูกหรือผิดเป็นไปได้ห้าสิบต่อห้าสิบ